หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 มามีส่วนร่วมกันเถอะ

วิถีชีวิตของคนไทยสมัยต่าง ๆ          วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย  คือ  การเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ทุกคนอาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชนในระดับครอบครัว  เป็นครอบครัวขยายที่มีคนหลายรุ่นอาศัยอยู่รวมกัน  คือ  รุ่นปู่ย่าตายาย  รุ่นพ่อแม่  รุ่นลูก  รุ่นหลาน  รวมทั้งมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน โดยมีศูนย์กลางของชุมชน  คือ  ศาสนสถาน  เช่น  วัด  มัสยิด  ผู้ใหญ่ในชุมชน  เช่น  พระ  ผู้ใหญ่บ้าน  ผู้เฒ่าผู้แก่  ได้รับการนับถือและเป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งในชุมชน  มีขนบธรรมเนียมประเพณี  การละเล่น  และความเชื่ออันเนื่องมาจากการเป็นสังคมเกษตรกรรม  จากการนับถือศาสนาและความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการนับถือผีสางเทวดา
          เมื่อเวลาผ่านไป  สังคมมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น  ความคิด  ค่านิยม  อุดมการณ์  การเมืองการปกครอง  และบรรทัดฐานทางสังคม  ซึ่งมีผลให้วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน
         
          1.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัย          วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัยสามารถสรุปออกเป็นด้าน ๆ ได้ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในระยะแรกผู้ปกครองสุโขทัยมีความใกล้ชิดกับประชาชน  เปรียบเสมือนกับพ่อปกครองลูก  ต่อมาผู้ปกครองได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการปกครอง  ทำให้ผู้ปกครองทรงเป็นธรรมราชา  ปกครองโดยทศพิธราชธรรม
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ชาวสุโขทัยมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ  อาชีพที่ทำ  เช่น  เกษตรกรรม  หัตถกรรม  ค้าขาย  มีการใช้เงินพดด้วงและเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  สังคมในสมัยสุโขทัยมีขนาดไม่ใหญ่มาก  สังคมไม่ซับซ้อนเพราะประชากรมีจำนวนน้อย  ชนชั้นในสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้นผู้ปกครอง  ได้แก่  พระมหากษัตริย์  ขุนนางและผู้ถูกปกครอง  ได้แก่  ราษฎร  ทาส  และพระสงฆ์  ชาวสุโขทัยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก  ดังจะเห็นได้จากการฟังธรรมในวันพระ  มีการสร้างวัด  พระพุทธรูปจำนวนมาก  และมีการแต่งวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา  คือ  ไตรภูมิพระร่วง
          2.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยอยุธยา  ธนบุรี  และรัตนโกสินทร์ตอนต้น
          วิถีชีวิตของคนไทยในสามช่วงเวลานี้กล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันและไม่มีความแตกต่างกันมากนัก  การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยที่เห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อมีการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา
          สำหรับวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยอยุธยา  ธนบุรี  และรัตนโกสินทร์ตอนต้นสรุปได้ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในสมัยอยุธยาได้รับคติการปกครองแบบสมมติเทพมาจากเขมรที่ผู้ปกครองเปรียบดังเทพเจ้า  จึงมีข้อปฏิบัติตามกฏมณเฑียรบาลที่ทำให้ผู้ปกครองมีความแตกต่างจากประชาชน  เช่น  การใช้ราชาศัพท์  การมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  เป็นต้น  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรจึงห่างเหินกัน  อย่างไรก็ตาม  ผู้ปกครองก็เป็นธรรมราชาด้วยเช่นกัน  สำหรับประชาชนถูกควบคุมด้วยระบบไพร่  ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้กับทางราชการ
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองและยังชีพอยู่ได้  ราษฎรสามารถผลิตสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันใช้เองในครัวเรือน  การค้าขยายตัวไม่มากเพราะถูกผูกขาดโดยพระคลังสินค้า  สินค้าของตะวันตกส่วนใหญ่ขายได้เฉพาะสินค้าบางประเภท  เช่น  อาวุธปืน  กระสุนปืน  และสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้ในราชสำนักหรือสำหรับกลุ่มที่มีฐานะ  การติดต่อค้าขายกับภายนอกมากขึ้น  ทำให้มีการจัดระเบียบหน่วยงานต่าง ๆ ชัดเจน  เช่น  มีกรมท่าและพระคลังสินค้าดูแลการติดต่อและการค้ากับต่างประเทศ  การจัดระบบภาษีอาการและระบบเงินตรา
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  จากการติดต่อกับชุมชนภายนอก  ไม่ว่าทางการค้า  การทำสงคราม  รวมถึงมีชาวต่างชาติเข้ามารับราชการในราชสำนัก  ทำให้สังคมไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากเขมร  อินเดีย  มอญ  จีน ญี่ปุ่น  เปอร์เซีย  อาหรับ  ยุโรป  เช่น  การกำหนดชนชั้นของคนในสังคม  กฎหมาย  ประเพณี  พระราชพิธีและธรรมเนียมในราชสำนัก  วิถีการดำเนินชีวิตต่าง ๆ เช่น  การดื่มชา  การใช้เครื่องถ้วยชาม  เครื่องเคลือบ  การปรุงอาหาร  และขนมหวาน
                    สำหรับพระพุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนี้เช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย  โดยประชาชนมีประเพณีในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา  เช่น  การเกิด  การอุปสมบท  การแต่งงาน  การตาย  และประเพณีเกี่ยวกับสังคมเกษตรกรรม  เช่น  การทำขวัญแม่โพสพ  ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม  ดังจะเห็นได้จากการมีการมัสยิดและโบสถ์คริสต์  ทั้งที่กรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรีและกรุงเทพมหานคร  และยังมีการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม  วรรณกรรม ประเพณี  เพื่อความสำคัญของพระพุทธศาสนาและความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์
         
          3.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475          ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา  สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างมากจากการรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตก  สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเกิดจากการที่ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398  และทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกอื่น ๆ ทำให้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น  ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระยะแรก  ได้แก่  ผู้ปกครองและชนชั้นสูง  เช่น  เจ้านาย  ขุนนาง  ต่อมาชนชั้นกลางได้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใกล้ชิดกับราษฎรมากขึ้น  เช่น  เสด็จประพาสหัวเมืองบ่อยครั้ง  อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้า ฯ  ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินได้  ให้ราษฎรมองพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินและถวายฎีกาแก่พระองค์ได้โดยตรง  ตลอดจนมีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน  แบ่งงานออกเป็นกระทรวง  กรม  ทำให้การฝึกคนเข้ารับราชการมากขึ้น
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ข้าวกลายเป็นสินค้าออกอันดับหนึ่งของไทย  มีการบุกเบิกที่ดินเพื่อใช้ปลูกข้าว  เช่น  บริเวณรังสิต  ปรับปรุงระบบชลประทาน  การขุดคูคลอง  และการตั้งโรงสีข้าว  โดยชาวจีนเป็นผู้ค้าข้าวในประเทศและเป็นเจ้าของโรงสี  ส่วนชาวยุโรปเป็นผู้ส่งออก
                    ต่อมาไทยผลิตสินค้าออกที่มีความสำคัญอีก 3 ประการ  คือ  ดีบุก  ไม้สัก  และยางพารา  การเติบโตของการส่งออกดีบุก  ทำให้มีชาวจีนอพยพเข้ามาเป็นแรงงานและอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของไทยมากขึ้น  เช่น  ที่ภูเก็ต
                    การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจทำให้การค้าขยายไปทั่วประเทศ  เมืองขยายตัว  เกิดการพัฒนาเส้นทางคมนาคม  พ่อค้าเร่ชาวจีนบรรทุกสินค้าไปขายยังหัวเมืองต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวจีนอพยพจากรุงเทพมหานครไปอาศัยอยู่ตามชุมชนเมืองในหัวเมือง  ซึ่งพัฒนาเป็นชุมชนการค้าของเมืองนั้น ๆ และตั้งรกรากมาจนถึงปัจจุบัน
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการปรับปรุงประเทศให้เข้าสู่ความทันสมัยแบบตะวันตก  เช่น  ราษฎรไทยได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสและไพร่  มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพ  ได้รับการรักษาโรคด้วยวิชาการแพทย์แผนใหม่  สามัญชนมีโอกาสได้เล่าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย  เข้าทำงานในกระทรวงต่าง ๆ อ่านหนังสือพิมพ์  ใช้รถไฟ  รถยนต์  ไปรษณีย์โทรเลข  โทรศัพท์  ไฟฟ้า  น้ำประปา  มีถนนหนทางใหม่ ๆ เพื่อใช้เดินทาง  ทำให้ชีวิตของคนไทยสะดวกสบายมากขึ้น
                    นอกจากนี้  ชาวไทยทั้งหญิงและชายเริ่มแต่งกายให้เป็นแบบสากลนิยม  รับประทานกาแฟ  นม  ขนมปัง  เป็นอาหารเช้าแทนข้าว  ใช้ช้อนส้อม  นั่งโต๊ะเก้าอี้  มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่ต่างประเทศ  รู้จักเล่นกีฬาแบบตะวันตก  สร้างพระราชวัง สร้างบ้านแบบตะวันตก  นิยมมีบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด  ในสมัยรัชกาลที่ 6  คนไทยเริ่มมีคำนำหน้าชื่อบุรุษ  สตรี  เด็ก  เป็นนาย  นางสาว  นาง  เด็กชาย  เด็กหญิง  ตามลำดับ  มีนามสกุลเป็นของตัวเอง  ผู้หญิงเริ่มไว้ผมยาวและนุ่งผ้าซิ่น  มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติไทย  เป็นต้น         

 4.  วิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน
          การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475  มีผลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในด้านต่าง ๆ หลายประการ  ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในสมัย พ.ศ. 2475  มีการเปลี่ยนแปลงระบอบใน พ.ศ. 2475  มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย  เกิดองค์กรการเมืองต่าง ๆ เช่น  พรรคการเมือง  คณะรัฐมนตรี  รัฐสภา  ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง  มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง  แต่บางสมัยถูกปกครองโดยเผด็จการที่ยกเลิกรัฐธรรมนูญ  มีการควบคุมสิทธิทางการเมืองของประชาชน
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ตั้งแต่ พ.ศ. 2504  มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยหลายอย่าง  เช่น  เกิดโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก  คนในชนบทอพยพมาทำงานโรงงานมากขึ้น  เกิดปัญหาความยากจนและช่องว่างทางเศรษฐกิจระกว่างภาคเกษตรกรรมกับอุตสาหกรรม
                    ในทศวรรษ 2530  รัฐบาลมุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่  แต่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540  ทำให้ธุรกิจจำนวนมากล้มละลาย  คนตกงานจำนวนมาก  รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  สามารถแบ่งได้เป็นช่วง ๆ ดังนี้
                              3.1)  สมัยการสร้างชาติ  ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสมัยแรก (พ.ศ. 2481 - 2487)  ได้สร้างกระแสชาตินิยมและความเป็นไทยด้วยการออกรัฐนิยมหลายฉบับ  เช่น  เปลี่ยนชื่อประเทศ  ชื่อสัญชาติ  ชื่อคนสยาม  เป็นประเทศไทย  สัญชาติไทย  คนไทย  มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน  ทั้งหญิงและชายต้องสวมรองเท้า  สวมหมวก  ห้ามรับประทานหมากพลู  ต้องใช้คำสรรพนามแทนตนเองว่า  "ฉัน"  และเรียกคนที่พูดด้วยว่า  "ท่าน"  เป็นต้น  แต่ภายหลังวัฒนธรรมเหล่านี้ก็ถูกยกเลิกไป
                              3.2)  สมัยการฟื้นฟูพระราชประเพณี  ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  (พ.ศ. 2501 - 2506)  ในสมัยนี้มีการฟื้นฟูความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์  และฟื้นฟูพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น  เปลี่ยนวันชาติจากวันที่ 24  มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย  มาเป็นวันที่ 5 ธันวาคม  ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา  จัดให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างยิ่งใหญ่  จัดงานพระราชพิธีวันฉัตรมงคล  และมีพิธีต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญแก่สถาบันพระมหากษัตริย์  เช่น  พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์  พิธีที่ทำคุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค  สนับสนุนการเสด็จพระราชดำเนินไปยังต่างจังหวัดในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ  มีการสร้างพระตำหนักในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมโครงการหลวง  โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ออกข่าวพระราชสำนักผ่านโทรทัศน์และวิทยุเป็นประจำทุกวัน  จะเห็นว่าการฟื้นฟูพระราชพิธี  การสร้างธรรมเนียมต่าง ๆ เกี่ยวกับราชสำนักในสมัยจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ได้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
                              3.3)  สมัยการฟื้นฟูวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว  ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ได้ตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.)  ปัจจุบันคือ  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  องค์กรนี้ได้เข้าไปส่งเสริม  ฟื้นฟู  และสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว  ทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างได้รับการฟื้นฟูสืบทอด  และประเพณีบางอย่างได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่  เช่น  การจัดงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย  เป็นต้น
                              3.4)  สมัยการพัฒนาทางเศรษฐกิจถึงปัจจุบัน  สมัยนี้ได้มีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1  เมื่อ พ.ศ. 2504  ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  โดยเกิดจากหลายปัจจัย  เช่น  การพัฒนาทางการศึกษา  ทำให้อัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้น  จำนวนผู้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและจำนวนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น  คนไทยนิยมไปเรียนต่อต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับในช่วงนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา  ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกแพร่ขยายเข้ามาในสังคมไทยมากขึ้น
                              ในด้านครอบครัว  ครอบครัวมีขนาดเล็ก  โดยมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว  สังคมแบบเครือญาติหรือสังคมชนบทของไทยเปลี่ยนไป  วางแผนครอบครัวและความเจริญทางการแพทย์  ทำให้ประชากรวัยสูงอายุมีจำนวนมากขึ้น  ขณะที่ประชากรวัยเด็กลดลงความสัมพันธ์แบบเครือญาติลดลง  ผู้หญิงไทยออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น  และเกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา  เช่น  ปัญหาเด็กเร่ร่อน  ปัญหาสิ่งเสพติด  ปัญหาอาชญากรรม  เป็นต้น



การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
1. การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ของท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น มุ่งศึกษาให้รู้ความเป็นมาในอดีต และสภาพการณ์ในปัจจุบัน
2. การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมตามประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสำนึกของความเป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ ที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น รวมทั้งสนับสนุนให้มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นหรือพิพิธภัณฑ์ชุมชนขึ้น เพื่อแสดงสภาพชีวิตและความเป็นมาของชุมชน อันจะสร้างความรู้และความภูมิใจในชุมชนท้องถิ่นด้วย
3. การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มีคุณค่าและมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และค่านิยม
4. การพัฒนา ควรริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงภูมิปัญญาให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นพื้นฐานในการรวมกลุ่มการพัฒนาอาชีพควรนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อต่อยอดใช้ในการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

5. การถ่ายทอด โดยการนำภูมิปัญญาที่ผ่านมาเลือกสรรกลั่นกรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คุณประโยชน์และปฎิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ 
6. ส่งเสริมกิจกรรม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายการสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาของชุมชนต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
7. การเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง โดยให้มีการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ ด้วยสื่อและวิธีการต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

8. การเสริมสร้างปราชญ์ท้องถิ่น โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของชาวบ้าน ผู้ดำเนินงานให้มีโอกาสแสดงศักยภาพด้านภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีการยกย่องประกาศเกียรติคุณในลักษณะต่างๆ